วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

"หน้าลอกแบบนี้ ทำไงดีล่ะ" วิธีแก้หน้าลอกที่สาวๆผิวแห้งไม่ควรพลาด


               ยามเมื่อฤดูหนาวมาเยือน  ทุกคนต่างก็มีความสุขสดชื่น  กับอากาศเย็นสบายและเทศกาลอันแสนสุข  แต่สิ่งที่ตามมา และทุกคนคงจะไม่ปรารถนา นั่นก็คือเรื่องของผิวหน้าลอกนั่นเอง  เมื่อพูดถึงปัญหานี้แล้ว หลายคนคงจะร้องอ๋อกันเลยทีเดียว

                แล้วหน้าลอกทําไงดีหล่ะ? วันนี้เราจะมาบอกวิธีแก้หน้าลอกกันคะ  เพื่อที่คุณจะได้มีความมั่นใจ และมีความสุขกับผิวหน้าที่สดใส  ไม่มีรอยแห้งแตก  หรือขุยผิวหนังสีขาวๆ ที่เป็นผลมาจากอากาศที่หนาวๆ ยังไงหล่ะ  พร้อมแล้วมาเตรียมตัวแก้หน้าลอกกันเลย

  
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์
                สาวๆ หลายคนคงจะรู้กันอยู่แล้วนะคะ  ว่ามอยส์เจอรไรเซอร์เนี่ย  ช่วยให้ผิวหนังของเรามีความนุ่มชุ่มชื่นเป็นอย่างมาก  และที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของคุณก็คงจะมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ให้คุณอย่าลืมที่จะใช้อย่างถูกวิธีนะคะ  แล้วผิวหน้าของคุณจะดูเนียนนุ่ม  ไม่แห้งแตกเป็นขุยแน่นอนจ้า

น้ำผึ้งช่วยแก้ผิวหน้าแห้ง
                น้ำผึ้งธรรมดาๆ นี้  ประโยชน์ของมันไม่ธรรมดาเลยนะคะ เพราะว่ามันสามารถสร้างประโยชน์ได้มากมายเลยทีเดียว  และยังสามารถแก้ปัญหาผิวหน้าแห้งได้อีกด้วย  เพียงแค่เพื่อนๆ ใช้น้ำผึ้งมาทาพอกหน้าทิ้งไว้ซักประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด คุณจะรู้สึกได้ถึงความเนียนนุ่มขึ้นมาทันทีเลยหล่ะ

อย่าใช้โฟมล้างหน้าที่มีเม็ดบีดส์
                เพราะถ้าเราใช้โฟมล้างหน้าชนิดที่มีเม็ดบีดส์  จะทำให้ผิวหน้าของเราถูกเสียดสี  บางครั้งอาจถึงขั้นผิวหนังอักเสบเลยก็เป็นได้  ดังนั้นถ้าหน้าลอก ให้งดใช้ก่อนนะคะ

ทานอาหารอย่างเหมาะสม
                ให้เลือกทานผักใบเขียวให้มากๆ นะคะ  เพราะในผักพวกนี้จะมีกรดไขมัน และวิตามินต่างๆ ที่ช่วยรักษาผิว  และที่สำคัญอย่าลืมดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยหล่ะ จะได้มีหน้าที่ชุ่มชื่นอยู่ตลอดยังไงหล่ะจ๊ะ

อย่าใช้โฟมล้างหน้าที่มีค่าเป็นด่าง
               เพราะถ้าเราล้างหน้าบ่อยๆด้วยโฟมล้างหน้าที่มีค่า pH สูงๆจนเป็นด่าง จะทำให้ชะล้างไขมันที่เคลือบผิวของเราอยู่  ทำให้ผิวหนังเกิดการสูญเสียความชุ่มชื้น  ทางที่ดีควรใช้โฟมล้างหน้าที่มี pH 5.5 ซึ่งเป็นกรดอ่อนๆ เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา และไม่ทำร้ายผิวกันนะคะ




แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

ผิวบาง....สัญญาณอันตรายสู่ปัญหาผิวไม่รู้จบ



               ผู้หญิงทุกคนอยากมีผิวหน้ากระจ่างใส แต‹ลืมคิดไปว่าผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งที่ใช้อยู่ทำให้ผิวกระจ่างใสจริงและปลอดภัยหรือไม่‹ คุณหรือเพื่อนๆ ข้างกายหลายคน คงเคยพบปัญหาการใช้ไวเทนนิ่งแล้วผิวขาวขึ้นอย่างทันใจ ใครหลายๆ คน ก็ทักว‹าคุณมีหน้าขาวใสขึ้นในช่วงแรก แต่‹...ไม่นานก็ผิวบางผิวกลับคล้ำเสีย กว่าเดิมซ้ำยังเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำอีกด้วย

               การที่คุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมและไม่ปลอดภัยเพราะมีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว เนื่องจากมีส่วนผสมของสารที่มีความเป็นกรดมากเกินไปเช่น กรด BHA (Beta Hydroxyl Acid) กรดวิตามินซี กรวิตามินเอ สารเหล่านี้ช่วยให้หน้าขาวขึ้น จริงในตอนแรก แต่สุดท้ายกลับทำให้ผิวบาง และก่อปัญหาทิ้งไว้อีด้วยเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้าไปเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้การผลัดเซลล์ผิว บริเวณหนังกำพร้าหลุดลอกเร็วและมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกราะปกป้องผิวอ่อนแอ ผิวบางลง

               ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย และนำไปสู่ปัญหาผิวไวต่อแสงแดด ซึ่งเมื่อออกแดดจะทำให้Œเกิด อาการ แดง แสบ คันหรือมีผื่นโดยเฉพาะบริเวณ โหนกแก้ม และเมื่อผิวบางและไวต่อแดดปัญหาที่่จะพบต่อมาคือ ฝ้า กระ จุดด่างดำคล้ำเสียสะสมมากยิ่งขึ้น

               ทุกๆ ครั้งของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่ง คุณควรแน่ใจว่าไม่มีส่วนผสม ของสารที่ทำให้ผิวบาง เช่น กรดวิตามินซี กรดวิตามินเอ กรด BHA (Beta Hydroxyl Acid) เพราะสารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคาเคืองที่ผิวได้ง่าย เร่งการผลัดเซลล์ผิวบริเวณหนังกำพร้ามากกว่าปกติ ทำให้เกราะปกป้องผิวอ่อนแอผิว จึงบางลง ถ้าเริ่มมีจุดด่างดำ กระ ฝ้าควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ กลุ่มไวเทนนนิ่ง ที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวได้ง่าย สาร ทำให้ผิวบาง และไม่เร่งการผลัดเซลล์ผิวมากกว่าปกติ ไม่เช่นนั้นปัญหาจุดด่างดำผิวคล้ำเสียสะสมจะรุนแรงขึ้นและคล้ำเสียกว่าเดิม

               คุณควรแน่ใจว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งที่คุณใช้ ผ่านการทดสอบทางคลินิก โดยผู้เชี่ยวชาญด้าผิวหนังจากสถาบันการวิจัยที่น่าเชื่อถือและทดสอบแล้วว่า ได้ผลจริงเหมาะสมกับสภาพผิว นอกจากนี้ต้องตรวจสอบแล้วว่า ส่วนผสมเป็น สารที่ปลอดภัยไร้สารทำให้ผิวบาง ซึ่งสารที่ปลอดภัย ได้แก่

สารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่ระคายเคืองต่อผิวและสามารถทำงานร่วมกับผิวได้ดี ทั้งนี้ต้องได้รับการพิสูจน์และทดสอบแล้วว่าปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิวและไร้สารทำให้ผิวบาง
● สารที่ได้รับการยอมรับหรือใช้รักษาผิวพรรณโดยแพทย์ผิวหนัง
● สารที่ทำงานร่วมกับผิวเสมือนเป็นแหล่งอาหารหรือพลังงานให้ผิวทำงานตาม กระบวนการธรรมชาติได้อย่างดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น




แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

"ริ้วรอย" ตัวการทำให้ผิวมีอายุ


ริ้วรอยเกิดขึ้นในทุกชั้นผิว

การเปลี่ยนแปลงของผิวที่มีอายุมากขึ้น เกิดขึ้นในชั้นผิวหนังทั้ง 3 ชั้น
• ชั้นหนังกำพร้า เมื่ออายุมากขึ้น การผลัดเซลล์ผิวเริ่มช้าลงและร่างกายผลิตไขมันน้อยลง ทำให้ผิวดูแห้งกร้านได้ นอกจากนั้นแล้วผิวยังเซนซิทิฟกับรังสียูวีมากเป็นพิเศษ ไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ง่ายและเร็วเหมือนผิววัยหนุ่มสาว แพ้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม

• ชั้นหนังแท้ มีองค์ประกอบหลัก คือ คอลลาเจน และ Elastic Fiber ที่ให้ความยืดหยุ่นกับผิว แต่เมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงประมาณปีละ 1% ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวมีคุณภาพลดลง ผิวจึงมีอาการหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น

• ชั้นไขมัน ซึ่งถือเป็นชั้นที่ช่วยเสริมให้รูปทรงของใบหน้าคงรูปอยู่ได้ดี แต่เมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น ชั้นไขมันนี้จะมีความหนาแน่นลดลง ทำให้เกิดผิวยวบลงได้อย่างชัดเจน จึงสังเกตได้ว่าส่วนใบหน้าจะมีการยวบลงมา ทำให้หน้า V shape กลายเป็น U shape ได้ และทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นยิ่งดูลึกกว่าเดิม


ปัจจัยภายในที่ทำให้ผิวมีอายุ
               ปัจจัยบางอย่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การทำงานของเซลล์ผิวนั้นจะค่อยๆ ช้าลงและเสื่อมประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับการทำงานของระบบอื่นๆ ในร่างกายเมื่อเราอายุมากขึ้น

• การไหลเวียนของโลหิต ที่นำสารอาหารที่สำคัญและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ผิว เมื่อเสื่อมสภาพลงจะทำให้ผิวหน้าสูญเสียสิ่งที่เราเรียกว่า “แดงระเรื่อ” ที่มักพบในผิวหนังเด็กหรือวัยหนุ่มสาว
• กรรมพันธุ์ เป็นส่วนสำคัญที่เป็นตัวตัดสินว่าผิวของแต่ละคนจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่ออายุมากขึ้น เชื้อชาติและสภาพผิวของแต่ละคนมีส่วนที่ทำให้ริ้วรอยและการหย่อนคล้อยของผิวต่างกัน ผิวแพ้ง่ายมักจะเกิดริ้วรอยก่อนผิวปกติ ในขณะที่ผิวของชาวเอเชียอาจเกิดริ้วรอยและสีที่ไม่สม่ำเสมอช้ากว่า
• อายุ ในผิวที่มีอายุน้อย การเชื่อมต่อของแต่ละชั้นผิวที่มีความแข็งแรงจะทำให้การลำเลียงสารอาหารและความชุ่มชื่นมีประสิทธิภาพดีกว่าแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป การเชือมต่อและระบบต่างๆ เริ่มทำงานช้าลงและมีประสิทธิภาพน้อยลง ผลก็คือผิวที่ดูมีอายุมากขึ้น



ปัจจัยภายนอกที่ทำให้ผิวมีอายุ
               ปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่มีผลต่อการเกิดริ้วรอยหรือการหย่อนคล้อยของผิว เกิดจากการเกิดอนุมูลอิสระ ตามปกติ อนุมูลอิสระในผิวจะถูกกำจัดได้โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้น้อยลง ผลลัพธ์ก็คือเซลล์ผิวที่ถูกทำลายจากปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะเป็น

• แสงแดด รังสียูวีในแสงแดดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระในเซลล์ผิว ทำให้เกิดจุดด่างดำในผิว ฝ้าแดด กระ สีผิวแลดูไม่สม่ำเสมอ หมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส
• มลภาวะ โดยเฉพาะสาวๆ ที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ มลภาวะต่างๆ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระในผิว
• บุหรี่ สารนิโคติน ในบุหรี่มีส่วนทำให้คอลลาเจนในผิวคุณภาพเสื่อมลงผิว
• การรับประทานอาหาร การเลือกทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเช่น ผักและผลไม้บางชนิด เป็นตัวช่วยสำคัญในการช่วยให้เซลล์ผิวสามารถต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นได้
• การไม่ใส่ใจดูแลผิว ผิวที่ไม่ได้รับการบำบัดดูแลอย่างถูกวิธีมักจะแสดงสัญญาณของการมีอายุเร็วขึ้น การทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและการบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพ นอกจากนั้นการใช้ครีมกันแดดทุกวันมีส่วนช่วยป้องกันริ้วรอยได้อย่างดี




แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

สิว..... ปัญหาใหญ่บ่อนทำลายความมั่นใจแห่งผิวพรรณ


            จริงอยู่ที่ว่าสิวจะไม่ใช่โรคร้ายหรือทำร้ายร่างกายเราหนักหนาสาหัสอะไร แต่เคยฉุกคิดไหมคะ ว่าทำไมเราถึงเครียดกับมันเหลือเกิน ทั้งๆที่ร่างกายเราก็ปกติดี ใช่แล้วค่ะ ที่เราเครียดเพราะ”ความมั่นใจ”ที่ถูกสิวทำลายจนน่าวิตก แล้วความมั่นใจนี่แหละที่เป็นกลไกหลักในการเข้าสังคม พอความมั่นใจหดหาย จะพูดจะทำอะไรก็ดูเหมือนติดขัดไปซะหมด บางคนหนักถึงขั้นรู้สึกว่าสังคมที่เราอยู่นั้นไม่น่าอยู่เลย อันเนื่องมาจากเราขาดความมั่นใจเพราะสิวนั่นเอง

มาดูกันซิว่า สิวเกิดขึ้นได้อย่างไร......
(1) การขับไขผิว :  การขับไขผิวมากเกินไป แต่ไม่สามารถถูกขับออกจากถุงขนอย่างราบลื่นและอุดตันอยู่ในถุงขนจนเป็นเหตุให้เกิดเป็น ฝี
(2) กรรมพันธุ์ :  ผู้ที่เป็นสิววัยหนุ่มสาว มีกรรมพันธุ์ที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อฮอร์โมนเพศชาย ไม่ใช่เป็นเพราะการขับเคลื่อนของเหลวในร่างกายเสียสมดุล
(3) ฮอร์โมน : ฮอร์โมนเพศชายจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของต่อมไขมัน ทำให้การขับไขผิวเพิ่มปริมาณมากขึ้น จนทำให้รูขุมขนอุดตัน สุภาพสตรีก่อนประจำเดือนจะมาประมาณสองสัปดาห์ รังไข่จะขับสารสีเหลืองออกมาปริมาณมากกว่าปกติ เพราะฉะนั้นคนจำนวนมากที่ก่อนประจำเดือนจะมาสัก 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีปัญหาสิว นอกจากนี้ถ้าจิตใจเครียด นอนหลับไม่เพียงพอ และรับประทานยาคุมกำเนิดบางอย่างอาจจะส่งผลการขับฮอร์โมนภายในร่างกาย
(4) เชื้อโรค : เชื้อโรคอาจเกิดจากมือ เครื่องใช้ เสื้อผ้าที่ไม่สะอาดทำให้เชื้อโรคแพ่พันธ์มากเกินไป จนทำให้ถุงขนเกิดการอักเสบ
(5) อาหาร : อาหารที่บริโภคไม่มีความสัมพันธ์กับตุ่มไขผิวโดยตรง คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาหารที่ผ่านการทอดและถั่วลิสง ช๊อตโกเลตเป็นต้นที่เป็นอาหารประเภทให้พลังงานสูงเป็นต้นเหตุของการเกิดตุ่มไขผิว แต่ไม่ใช่ว่าผู้ที่รับประทานอาหารประเภทนี้ต้องเป็นสิวกันทุกคนเสมอไป ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่คนแตกต่างกันไป ฉะนั้นในชีวิตประจำวันหากค้นพบว่าอาหารประเภทไหนที่ทำให้เกิดสิว ตุ่มไขผิว ก็ควรจะงดหรือลดปริมาณการกินไปบ้าง
(6) เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม : ถ้าหากได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหรือเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับผิวหนังของตนเอง จะทำให้ถุงขนอุดตันง่าย ไขผิวไม่สามารถขับออกมาได้คล่องตัว
(7) ยาและสารเคมีบางชนิด : สเตียรอย

วิธีการดูแล รักษา และป้องกัน :
(1) ขยันล้างหน้า : ผู้ที่มีผิวมันและมีการแต่งหน้าและใช้ครีมกันแดด ควรใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางและโฟมล้างหน้าจึงสามารถชำระสิ่งสกปรกและคราบเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจด เพียงแต่ใช้วิธีล้างหน้าที่ถูกค้อง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี pH ที่เหมาะสม พร้อมกับมีการบำรุงที่ดี ก็ไม่ต้องเกรงว่าไขผิวที่มีคุณค่ามากจะถูกทำลายไป
(2) การบำรุงที่ถูกหลัก : หลีกเลี่ยงใช้สารบำรุงประเภทมันที่มีสารบำรุงสูงเกินไป ควรจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง ในขณะเดียวกัน การขจัดเซลล์กำพร้า และการอบหน้า นวดหน้าเป็นเวลานานเกินไปกลับจะทำให้มีอาการอักเสบรุนแรงได้ง่ายขึ้น
(3) การทำงานและการพักผ่อน :  ในชีวิตประจำวันหากมีการทำงานและการพักผ่อนที่ดี สามารถช่วยให้ระบบการขับของเหลวในร่างกายเป็นปกติ นอกจากต้องมีการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว ยังจะต้องรักษาจิตใจให้สบาย ร่าเริงด้วย
(4) ระมัดระวังความเคยชินที่ไม่ดี :  เช่น การใช้มือไปลูบจับผิวเป็นประจำ ใช้มือเท้าที่ใต้คางหรือสองแก้ม และการปล่อยให้เส้นผมลงมาปกปิดใบหน้า



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

"ฝ้า" ปัญหาใหญ่ บ่อนทำลายผิวสวย


ฝ้า คืออะไร
               ฝ้า (Moles) คือ ผิวหนังที่มีลักษณะเป็นผื่นสีดำอมน้ำตาล เกิดขึ้นบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก คาง และเหนือคิ้วทั้ง 2 ข้าง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีที่ผลิตเม็ดสี (Melanin) ออกสู่ผิวหนังไม่สม่ำเสมอ บริเวณที่มีเม็ดสีมากจึงมีสีผิวเข้มกว่า จะทวีความเข้มขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการดูแลปกป้องที่ดีพอ

ฝ้ามีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
1. ฝ้าชนิดลึก จะอยู่ในชั้นหนังแท้ มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด รักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดตื้น และไม่ค่อยหายขาด การใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และครีมกันแดด เพียงแต่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น
2. ฝ้าชนิดตื้น จะอยู่ในชั้นหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นสีน้ำตาล ขอบเขตชัดเจน เกิดขึ้นง่าย และสามารถรักษาให้หายได้เร็ว นอกจากนี้ ฝ้าชนิดนี้ยังรักษาได้โดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และครีมกันแดดก็สามารถลบเลือนให้หายได้

สาเหตุของการเกิดฝ้า 
               สาเหตุของการเกิดฝ้า เกิดจากสารสีเข้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น สามารถแบ่งเป็นสองสาเหตุหลักๆคือเกิดจากภายในและจากภายนอก สาเหตุจากภายนอกนั้นรวมทั้งแสงอัลตร้าไวโอเลตหรือปัญหาของเครื่องสำอาง แต่ภายในมักเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือสภาพจิตใจ

     (1) แสงอัลตร้าไวโอเลต
               เมื่อแสงแดดส่องถูกผิว เซลล์สารสีเข้มที่อยู่ในชั้นพื้นฐานจะสร้างสารสีเข้มเมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสงอัลตร้าไวโอเลต สาเหตุเพราะพยายามไม่ให้แสงส่องไปถึงชั้นผิวแท้ ไปกระทบต่อโครงสร้างภายในผิว เริ่มแรกสารสีเข้มจะเกิดที่ส่วนในของผิวชั้นนอก และจะค่อยๆผลักออกมาถึงด้านนอกและกลายเป็นสีดำ แล้วจะกลายเป็นขี้ไคลหลุดลอกไป แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ทำการปกป้องผิวให้ดี สารสีเข้มไม่สามารถขับออกมาอย่างราบลื่น สารสีเข้มบางส่วนที่ตกค้างอยู่จะกลายเป็นฝ้าสีดำ การใช้เครื่องสำอางคุณภาพต่ำหรือใช้สารบำรุงที่ไม่เหมาะสม และได้รับการกระตุ้นจากแสงแดดหรือทางฟิสิกส์ ทำให้สารหอม สารตะกั่ว สารปรอทที่มีปริมาณมากเกินไปในผลิตภัณฑ์ตกตะกอนอยู่ในผิว

     (2) ระบบฮอร์โมนเสียสมดุล
               ในร่างกายของคนเรามีฮอร์โมนหลายสิบชนิดที่ทำหน้าที่ควบคุมความสมดุลภายในร่างกาย ฉะนั้นถ้ามีฮอร์โมนชนิดใดชนิดหนึ่งขับเคลื่อนไม่เพียงพอหรือมากเกินไป ก็จะทำให้สภาพร่างกายเสียสมดุล เป็นที่เข้าใจหันว่าฝ้ามักจะขึ้นกับสุภาพสตรีมากกว่าสุภาพบุรุษ เหตุผลเพราะว่าฮอร์โมนเพศหญิงสามารถกระตุ้นเซลล์สารสีเข้มเพิ่มการตกตะกอนของสารสีเข้ม แต่ฮอร์โมนเพศชายไม่ทำให้สารสีเข้มตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น ช่วงวัยทองและระยะตั้งครรภ์มักจะเกิดฝ้า เนื่องจากฮอร์โมนเสียสมดุล สุภาพสตรีที่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่หลังจากคลอดบุตรแล้วฝ้าก็จะหายไปเอง แต่สภาพสตรีในวัยทองเนื่องจากระบบการผลัดเปลี่ยนเซลล์เสื่อมถอย ผิวจะเข้าสู่วัยเสื่อมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถขจัดสารสีเข้มหลุดออกเซลล์ชั้นกำพร้าจึงกลายเป็นฝ้าดำ การรับประทานยาคุมกำเนิดก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นฝ้า แต่ส่วนใหญ่เมื่อหยุดรับประทานฝ้าก็จะหายไปเอง

     (3) ความเครียดและไม่สบายใจ
               เมื่อจิตใจมีความเครียดจะทำให้ต่อมใต้สมองสร้างสารกระตุ้นเซลล์สีเข้ม (MSH) เมื่อสารกระตุ้นฮอร์โมนตัวนี้ขับออกมาผิดปรกติ เซลล์สารสีเข้มมีความไวต่อการกระตุ้นมาก ฉะนั้นถ้าหากมีสภาพจิตใจความเครียด กระวนกระวายหรือมีความกังวลก็จะสะท้อนออกมาอยู่บนผิวหนัง

วิธีดูแลรักษา และป้องกัน 
(1) หลีกเลี่ยงการตากแดดโดยตรง ออกไปนอกบ้านควรกางร่มหรือสวมหมวก เพื่อลดโอกาสการเกิดฝ้าหรือเพิ่มปริมาณ ของฝ้า
(2) เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเพื่อความขาวเนียนที่อ่อนโยน ให้การบำรุง ชุ่มชื้นที่มีคุณภาพสูง อย่าใช้เครื่องสำอางคุณภาพต่ำ ซึ่งอาจปนเปื้อนสารตะกั่ว สารปรอทอย่างเด็ดขาด
(3) ใช้ผลิตภัณฑ์กันฝุ่นกันแดดที่สามารถให้การปกป้องผิวได้
(4) หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางประเภทเกินขนาดเป็นประจำ (โดยเฉพาะยาคุมกำเนิดบางจำพวก)
(5) รักษาสภาพจิตใจและร่างกายที่ร่าเริงแจ่มใส นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
(6) รับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินให้มาก
(7) ออกกำลังกายที่พอเหมาะเพื่อกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ให้มีชีวิตชีวา
(8) คงความเป็นปรกติของกลไกของภายในร่างกายในการขับถ่ายของเสีย



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

ทำไมต้องใช้ Skincare?



 ที่มาของการบำรุงผิวพรรณของมนุษย์นั้น เริ่มต้นจากการรักสวยรักงาม เหมือนภาษิตที่ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งเป็นเพราะมนุษย์เกิดความกลัวจากธรรมชาติ เพราะธรรมชาติของร่างกายและสิ่งแวดล้อมมีแต่การเสื่อมถอยลงเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไป อายุที่มากขึ้นร่างกายก็เริ่มเสื่อมถอยลงไปตามวัย จะไม่เหมือนในวัยเด็กหรือวัยรุ่นที่ร่างกายและเซลล์ผิวหนังทุกส่วนฟิตเปี๊ยะ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นจนถึงเลขสี่ เซล์ผิวหนังก็จะเริ่มเหี่ยวย่นและหย่อนยาน ยิ่งเข้าวัย 50-60 ปียิ่งเห็นได้ชัดเจน แทบทุกคนคนอาจทำใจไม่ได้กับธรรมชาติของร่างกายหรือสรีระที่เปลี่ยนแปลงไป หลายๆคนอยากกลับไปเป็นเหมือนสมัยวัยรุ่น (ไม่อยากชราภาพตามอายุที่มากขึ้น )

จะเริ่มบำรุงผิวเมื่ออายุเท่าไหร่ดี?
               กับคำถามที่ว่า อายุเท่าใดจึงจะเริ่มบำรุงผิวหน้า โดยหลักความจริงแล้วสามารถบำรุงใบหน้าโดยเริ่มตั้งแต่วัยรุ่นไปเลย ยิ่งเป็นการดีมาก เป็นการดูสุขภาพของใบหน้าให้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่เคยบำรุงผิวหน้าตั้งแต่แรกเลย การบำรุงแต่เนิ่นๆจะทำให้ใบหน้าสดใส ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลามากนัก เมื่ออายุย่างเข้ารอยต่อระหว่าง 20 - 30 เซลล์ผิวหนังจะเริ่มเสื่อมสภาพลง ริ้วรอยความหย่อนยานของเซลล์ผิวหนังจะเริ่มมาเยือนแล้ว ดังนั้นผู้ที่บำรุงมาตั้งแต่เริ่มแรกตลอดมาจะได้เปรียบกว่าที่ไม่ต้องมานับหนึ่งใหม่

               จุดประสงค์ของการบำรุงผิวพรรณก็เพื่อให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี เพราะจะสะท้อนถึงอัตลักษณ์ของผู้ดูแลผิวโดยตรง ธรรมชาติของเซลล์ผิวหนังของเราจะค่อยๆเสื่อมถอยลงไปตามอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนก็เช่นเดียวกัน มีผลทำให้เซลล์ผิวหนังเหี่ยวเฉาได้ง่ายและเร็วขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิมีผลต่อการระเหยของน้ำออกจากเซลล์ผิวหนัง อย่าลืม.....ว่าในร่างกายของเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด เมื่อเซลล์ผิวขาดน้ำจะทำให้เซลล์เหี่ยวย่นแฟบและอาจตายได้ กับคำพูดที่ว่า ผิวพรรณมีน้ำมีนวล ก็มาจากจุดนี้นี่เอง

               นอกจากนั้นยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสลายไปได้ง่ายๆ ทั้งอายุผิวหนังที่มากขึ้น เซลล์ผิวหนังจะถูกทำลายลงในทุกๆวัน มลพิษต่างๆ ทั้งมลพิษทางน้ำและอากาศ สารเคมีต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องสำอางบางชนิด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสารเคมี บางชนิดมีส่วนผสมของสารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรง ล้วนบั่นทอนเซลล์ผิวหนังให้เสื่อมสลายเร็วขึ้น ถ้ามีการบำรุงผิวพรรณป้องกันไว้ตั้งแต่เริ่มแรก ก็จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวจากมากให้เหลือเล็กน้อย ผิวพรรณยังคงสุขภาพดี คงอยู่ได้ เห็นได้จากระหว่างผู้ที่ดูแลและบำรุงผิวพรรณอย่างสม่ำเสมอ กับผู้ที่ไม่เคยบำรุงผิวเลยจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน

               ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่สามารถบำรุงผิว รวมไปถึงแก้ไขปัญหาผิวในด้านต่างๆ อันเป็นบ่อนทำลายความงาม การบำรุงผิวก็เป็นการดูแลผิวให้มีสุขภาพดีอีกประการหนึ่ง ลดปัญหาจากความเสี่ยงอันตรายรอบด้านที่จะทำอันตรายต่อผิวพรรณ

               ตอนนี้ไม่ว่าคุณอายุเท่าไรก็ตาม ควรใส่ใจดูแลผิวพรรณให้มีสุขภาพดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ผิวสวยอยู่กับเราไปนานๆ ดังคำที่ว่า “ป้องกัน ดีกว่าการรักษา” นะคะ




แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line