วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561

11 ขั้นตอนการดูแลผิวให้สวยกระจ่างใส ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส



       ผิวเป็นเรื่องสำคัญ ไม่สวยยังไงก็ขอผิวดีไว้ก่อน เมื่อผิวดีอะไรๆก็น่ามองจริงมั้ยคะ บางคนเสียเงินแพงเท่าไหร่ก็ยอมจ่ายเพื่อบำรุงผิวให้สวยเสมอ เพราะไม่ว่าต่อให้คุณมีรูปหน้าที่สวยแค่ไหน แต่ผิวไม่สดใส หมองคล้ำ มีฝ้า กระ จุดด่างดำ รอบแผลจากสิว หรือสิว ยังไงก็ไม่น่ามองจริงมั้ยคะ และด้วยเทรนด์เมคอัพตอนนี้งานผิวต้องมาก่อน ใครผิวไม่สวยปัดตกไปเลยค่ะ
       วันนี้ “คลิทีน่า” มี 11 ขั้นตอนการดูแลผิวง่ายๆ มาให้สาวๆ ดูแลผิวให้สวยใสกันไปเลยค่า..
การดูแลใบหน้าก็จะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ๆ ก็คือ ขั้นตอนการทำความสะอาด และ ขั้นตอนการบำรุงนะคะ ตามมาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าจะมีอะไรบ้าง เริ่ม!!

ขั้นตอนการทำความสะอาด
Make up Remover
       อยากผิวสวยก็ต้องดูแลให้ครบทุกขั้นตอน การทำความสะอาดผิวหน้า คือประตูด่านแรกของการเตรียมผิวเพื่อที่จะรับการบำรุงต่อไป เพราะถ้าผิวไม่สะอาดครีมบำรุงจะเข้าผิวได้ยังไงจริงมั้ยคะ และถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งหน้า ก็ห้ามข้ามขั้นตอนนี้นะคะ เพราะทั้งครีมกันแดด ฝุ่น ควันต่างๆ ที่อยู่บนหน้า เราก็ต้องเช็ดก่อนนะ เพราะล้างหน้าอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ


Oil Cleanser
หลังจาก Clean หน้าแล้ว ก็ควรใช้ Oil Cleansing อีกครั้งเพื่อขจัดเอาเครื่องสำอางค์ประเภท Water Proof เช็คออกอีกครั้งให้หมดนะคะ สำคัญมากเพราะสารตกค้างทั้งหลายนี่แหละ จะทำให้เกิดริ้วรอยตามมานะคะ


 Cleansing Water
ยังไม่พอค่ะ หลังจาก เช็ดเครื่องสำอางออกแล้ว เพื่อความสะอาดที่หมดจดให้เช็ดด้วย Cleansing Water อีกครั้ง ขจัดสิ่งสกปรกและเพื่อเช็ดเอาคราบความมันของ Make up Remover และ Oil Cleanser ออกไปด้วย
**ทั้ง 3 ขั้นตอนแรกนี้ ไม่ควรเช็ด หรือถูใบหน้าแรงๆ เด็ดขาดนะคะ เพราะจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ถลอก และเกิดริ้วรอยได้

 ขจัดเซลล์
ขั้นตอนนี้ ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป เพื่อเผยผิวกระจ่างใส เรียบเนียน และยังขจัดสิ่งสกปรกถึงรูขุมขนอีกด้วย ห้ามถูแรงเด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นผิวเสียก่อนผิวสวยแน่ๆ

 ล้างหน้า
แน่นอนว่าการล้างหน้าทุกคนต้องทำทุกวัน ขั้นตอนนี้สำคัญมากๆนะคะ เพราะถ้าไม่ล้างหน้าแล้วหน้าจะสะอาดได้ยังไงจริงมั้ยคะ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหลายยี่ห้อที่ผลิตออกมาเพื่อให้เหมาะกับแต่ละสภาพผิว ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวเราให้มากที่สุดนะคะ



       จบไปแล้วกับขั้นตอนก็การทำความสะอาดผิว ไม่ยากเนอะ แต่บางคนอาจจะคิดว่าทำไมต้องยุ่งยากหลายขั้นตอน อย่าลืมนะคะว่าผิวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญมาก อะไรที่สำคัญมากๆเราก็ต้องให้เวลากับเขาเหมือนกันนะจ๊ะ เรามาต่อกันเลยดีกว่า

ขั้นตอนการบำรุง
       หลายๆคนที่มีครีมหลายตัวอาจจะงงว่าจะต้องทาตัวไหนก่อน-หลัง ทริคลำดับการทาครีมง่ายๆนะคะ คือ การไล่ลำดับความเหลวของเนื้อโลชั่นและครีมค่ะ โดยเริ่มจากเนื้อน้ำไล่ลำดับความเหลวไปจนถึงเนื้อครีมเข้มข้น เพียงเท่านี้ก็ไม่ยากแล้วใช่ไหมคะ หรือถ้ายังไม่เข้าใจตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ  

 Toner / First Energy
ขั้นตอนแรกของการบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์หลายๆยี่ห้ออาจมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปนะคะ แล้วแต่เลยว่าเลือกใช้ยี่ห้อไหน คุณสมบัติของ TONER คือการเคลียผิวเพื่อให้ผิวพร้อมรับการบำรุงต่อๆไปค่ะ

 EYE CREAM
ทาอายครีมเป็นตัวแรกก่อนเสมอนะคะ บริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางและถูกทำร้ายง่ายที่สุด ดังนั้นการบำรุงจะต้องถึงก่อนเสมอนะคะ


 Serum
ฟื้นฟูผิวก่อนการบำรุง โดยส่วนใหญ่แล้วเซรั่มจะมาพร้อมคุณสมบัติ ฟื้นฟู เติมเต็ม และให้อาหารผิว  ดังนั้นเมื่อผิวเต็มอิ่มก็พร้อมรับการบำรุงขั้นต่อไปค่ะ


 Essence / Emulsion
เอสเซนต์ และ อีมัลชั่น จะเป็นการคืน และคงความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานในห้องแอร์เป็นประจำ เพราะเมื่อผิวแห้งจะทำให้ผิวระเคืองคาย ลอกเป็นขุย จนเป็นสาเหตุของริ้วรอยตามมา

 Moisturizer Cream
ครีมเนื้อหนักควรใช้ทาเป็นลำดับสุดท้าย (แนะนำให้ทาเฉพาะก่อนนอนนะคะ เพราะถ้าทาตอนกลางวันอาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะเกินไป บางท่านอาจเกิดสิวด้วยค่ะ) ใครที่อยากผิวสวยสุขภาพดีฉ่ำน้ำ แนะนำให้ทาก่อนนอนทุกคืนนะคะ ตื่นมาผิวจะฟูเด้งดูดีสุดๆ เลยค่ะ


 Sunscreen
ไม่ว่าจะเป็นวันที่มีแดด หรือ ไม่มีแดด ก็ไม่ควรละเลยการทาครีมกันแดดเด็ดขาดนะคะ ถึงไม่มีแดด แต่ก็ยังมี UVA UVB ที่จ้องทำร้ายผิวเราอยู่ ดังนั้นเราจะต้องปกป้องผิวของเราให้ถึงที่สุด



เป็นยังไงกันบ้างคะกับ 11 ขั้นตอนการดแลผิว สำหรับใครที่ต้องการผิวสวยๆ ใสๆ ขอบอกเลยว่าอย่าพลาดแม้แต่ขั้นตอนเดียวเลยนะคะ คลิทีน่า อยากให้สาวไทยผิวสวยทุกคนค่ะ



Share: Line

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

มารู้จักผิวหน้า 5 ประเภทกันเถอะ



       1. ผิวธรรมดา (Normal Skin)
           ผิวธรรมดาจะมีความเรียบเนียน  กระชับ ยืดหยุ่น และมีรูขุมขนที่ละเอียด  เมื่ออากาศร้อนผิวจะไม่มันเยิ้ม  และไม่แห้งเป็นขุยเมื่อต้องอยู่ในที่เย็นๆ เพราะมีสมดุลแห่งกลไกการขับไขมันผิว
           การดูแลรักษาผิวธรรมดานั้นก็ทำได้ง่ายๆ  โดยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นเป็นประจำ  และทำความสะอาดผิวหน้าด้วยโฟมที่มีค่า pH 5.5  และทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้านในเวลากลางวัน


   2.ผิวแห้ง (Dried Skin)
           เป็นผิวที่มีความเรียบเนียน  รูขุมขนเล็ก กระชับ  ไม่ค่อยจะมีปัญหาเรื่องสิว  แต่มักจะมีปัญหาเรื่องริ้วรอยมากกว่าผิวประเภทอื่น  เพราะผิวมักขาดความชุ่มชื้น จนอาจลอกและเป็นขุยในบางครั้งที่ต้องอยู่ในที่ๆ มีอากาศเย็นนาน
           การดูแลผิวแห้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น และควรเป็นเนื้อครีม  เพราะนอกจากจะช่วยคืนความชุ่มชื่นให้กับผิวแล้ว  ยังช่วยรักษาสมดุลแห่งน้ำหล่อเลี้ยงผิวได้ดีอีกด้วย ส่วนการทำความสะอาดควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับสภาพผิวคือ 5.5  และต้องสัมผัสผิวหน้าอย่างเบามือ


      3. ผิวมัน (Oily Skin)
           ผิวมันจะลักษณะรูขุมขนผิวกว้าง ไม่เรียบเนียน มักมีปัญหาเรื่องสิวง่ายกว่าผิวประเภทอื่นๆ  ผิวหน้ามักจะมีความมันตลอดเวลา  เพราะมีการขับไขมันผิวออกมามากกว่าปกติ
           ผู้ที่มีผิวมันจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน  หรือสารให้ความชุ่มชื่นมากนัก และควรเป็นประเภทเนื้อบางเบา  ซึมซาบง่าย เช่น เนื้อโลชั่น หรือเนื้อเซรั่ม เป็นต้น   เพราะโดยปกติแล้ว  ผิวมันที่สามารถผลิตสารให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ (Sebum) ได้ดีอยู่แล้ว ส่วนการทำความสะอาดผิวมัน ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2- 3 ครั้ง เพื่อช่วยขจัดความมันส่วนเกิน และป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุแห่งการเกิดสิว


      4. ผิวบอบบาง (Sensitive Skin)
           ส่วนใหญ่แล้วมันพบในผู้ที่มีผิวแห้ง และผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้  ลักษณะสำคัญคือ  ชั้นผิวจะบางจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้ มักเกิดการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวได้บ่อยๆ  อาการที่พบคือ ผื่นแดงบวม คัน สิวผด รอยไหม้ หรือรอยด่าง  ดังนั้น จึงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ  โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ อ่อนโยนและไม่ระคายเคืองผิว ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง และยังต้องสามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรงได้อีกด้วย


      5. ผิวผสม (Combination Skin or Mixed Skin)
           ผิวผสม จะมีลักษณะสำคัญของผิวหลากหลายประเภทผสมกัน  มีทั้งบริเวณที่แห้ง และมัน บริเวณหน้าผาก จมูกและคาง หรือทีโซน  จะมีการผลิตไขมันผิว (Sebum) ออกมามากกว่าบริเวณอื่นๆ ของใบหน้า จึงทำให้บริเวณเหล่านั้นมีโอกาสเกิดสิวได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ผิวบริเวณรอบดวงตา ข้างแก้ม หรือยูโซน ก็มักจะแห้ง หรือลอกเป็นขุยบ้าง เมื่อต้องสัมผัสกับอากาศเย็นนานๆ
           การดูแลรักษาผิวผสม ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างรูปแบบการดูแลผิวแห้งเข้ากับผิวมัน  ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ควรเป็นสูตรอ่อนโยน  เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์รุนแรง ที่มักมากับผลิตภัณฑ์เพื่อผิวมันกับใบหน้า  มักจะทำให้ผิวผสมที่มีลักษณะของผิวสองประเภทมีสภาพแย่ลงไปอีก  โดยเฉพาะบริเวณส่วนที่มีผิวแห้ง    อาจเกิดความหยาบกร้าน และรอยแดง มิหนำซ้ำการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์แรงๆ   ยังอาจทำให้ผิวที่มันๆ บริเวณทีโซนไม่ดีขึ้น เหมือนเป็นการไปกวนให้ต่อมผลิตไขมันมากขึ้น


แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

นานาปัญหาผิวพรรณ บั่นทอนความมั่นใจ



             ปัญหาผิวพรรณ ถือเป็นปัญหาที่วัยหนุ่มสาวหรือผู้รักสวยรักงามให้ความสำคัญมาก เนื่องจากผิวพรรณเป็นสิ่งสะท้อนถึงความสวยงาม และการมีบุคลิกภาพที่ดีต่อคนรอบข้าง แต่ผิวพรรณของแต่ละคนจะมีปัญหาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งนี้ ปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อย คือ



1.ผิวหยาบหนา
สาเหตุ:
• การผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิดปกติ จากการนอนหลับพักผ่อนน้อยบวกกับสารอาหารไม่พอ ระบบการผลัดเปลี่ยนเซลล์จะเกิดความสับสน ทำให้เซลล์กำพร้าเกิดการสะสมอยู่บนผิวชั้นนอก
• การตากแดดและการระคายเคือง เป็นระยะเวลานาน ผิวจะเพิ่มภูมิต้านทานโดยการสร้างเซลล์กำพร้าให้มากขึ้น จึงเกิดสภาพผิวหยาบหนา

ลักษณะที่เกิดขึ้น :
• ผิวหนังไม่สดใสและดูหมองคล้ำ
• เซลล์กำพร้าไม่ราบเรียบ ไม่ว่าจะด้วยสายตาสัมผัสหรือจากมือสัมผัสจะรู้สึกแห้งสากและหยาบกร้าน

หลักสำคัญในการบำรุง :
• ลดการตากแดดและการระคายเคือง
• ขจัดเซลล์กำพร้าเป็นประจำ ช่วยให้เซลล์กำพร้าหลุดลอกและผลัดเปลี่ยนได้ตามปกติ
• รักษาปริมาณน้ำและให้การบำรุงชุ่มชื้นแก่ผิวหนังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผิวชั้นนอกเรียบลื่น การผลัดเปลี่ยนเซลล์กำพร้าคล่องตัวเป็นปกติ


2. รูขุมขนหยาบกว้าง
สาเหตุ
• ผิวที่ขับไขมันมากเกินไป รูขุมขนและต่อมไขมันจะอ้วนใหญ่ การดูดเกาะของฝุ่นละอองก็จะเกาะติดได้มากกว่าผิวหนังทั่วไป รูขุมขนอุดตัน
• การระคายเคืองและการบีบเค้น เกิดการทำลายถึงชั้นผิวแท้ ความยืดหยุ่นของบริเวณรอบรูขุมขนเกิดความหย่อนยาน
• อายุมากขึ้น สมรรถภาพภายในผิวหนังอ่อนแอลง สูญเสียความยืดหยุ่น รูขุมขนก็หยาบกว้างได้

ลักษณะที่เกิดขึ้น :
• รูขุมขนชัดเจน ผิวหนังมันเยิ้ม จะตามมาด้วยเสี้นอุดตันและตุ่มไขผิว

หลักสำคัญในการบำรุง :
• ขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมให้สะอาดหมดจด ของเหลวถูกขับออกมาอย่างคล่องตัว รูขุมขนก็จะดูไม่ชัดเจนโดยปริยาย
• การปรับสมดุลและกระชับรูขุมขน ด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงเพื่อช่วยในการกระชับรูขุมขน


3. ผิวแห้งขาดน้ำ
สาเหตุที่เกิดขึ้น:
• เซลล์กำพร้าเก้บกักน้ำได้น้อยลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก ผิวไปตากแดด ตากลม และอากาศหนาว ร้อน ทำให้ผิวชั้นนอกสูญเสียปริมาณน้ำ
• เยื่อไขผิวไม่สมบูรณ์ ปริมาณน้ำสูญเสียได้ง่าย
• เซลล์ผิวอ่อนแอ หรือติดเชื้อ จะทำให้กลไกในการรักษาความชุ่มฃื้นของเซลล์ผิวต่ำลง

ลักษณะที่เกิดขึ้น : 
• ผิวแห้งหลุดลอกเป็นขุย มองดูผิวหยาบกร้าน หมองคล้ำ
• ริ้วรอยเล็กๆฟื้นฟูยาก นานๆเข้าก็จะกลายเป็นรอยย่นที่ชัดเจน

หลักสำคัญในการบำรุง :
• ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เน้นเสริมปริมาณน้ำ เพื่อให้เกิดความสมดุลของน้ำมันและน้ำ
• เสริมเพิ่มปริมาณน้ำให้เพียงพอ (ทุกวันอย่างน้อย 2000 ซี.ซี.)
• หลีกเลี่ยงอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานานๆ
• อย่าปล่อยให้ที่มาร์คหน้าแห้งเกินไปหรือพอกข้ามคืน เพราะจะทำให้เกิดทฤษฎีกาลักน้ำ ความชุ่มชื้นบนใบหน้าจะถูกดูดกลับคืนมาที่มาร์คหน้า
• การอบหน้าที่พอเหมาะสามารถช่วยให้โมเลกุลน้ำซึมซาบเข้าไปถึงในชั้นผิวกำพร้าเพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำของผิวกำพร้า


4. รอยเหี่ยวย่นหย่อนยาน
สาเหตุที่เกิดขึ้น:
• ผิวแห้งขาดน้ำเป็นเวลานานๆจะทำให้ผิวชั้นนอกสูญเสียความอ่อนนุ่ม และรอยย่นที่เกิดจากการแสดงอารมณ์และการกดทับจากท่านอน
• แสงอัลตร้าไวโอเลต ทำให้ผิวเข้าสู่วัยเสื่อมก่อนเวลาอันควร โดยทำลายเส้นใยคอลลาเจนและเส้นใยความยืดหยุ่นในชั้นผิวแท้
• การใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ความเหนื่อยล้า นอนหลับพักผ่อนไม่พอ สูบบุหรี่
• โครงสร้างใต้ผิวถูกทำลาย พบในผู้ที่สูงอายุและผู้ที่ลดความอ้วนอย่างเฉียบพลัน เนื่องจากการลดปริมาณไขมันที่ใต้ผิว จึงทำให้ผิวหนังหย่อนยาน
• การเข้าสู่วัยเสื่อมอย่างธรรมชาติ เนื่องจากอายุเพิ่มมากขึ้น การผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่และการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์เสื่อมลง ไม่สามารถต้านการทำลายจากภายนอกได้

ลักษณะที่เกิดขึ้น : 
• เมื่อเส้นใยคอลลาเจนและเส้นใยยืดหยุ่นของผิวแท้เข้าสู่วัยเสื่อม ผิวก็จะค่อยๆสูญเสียแรงพยุงและความยืดหยุ่นไป เกิดริ้วรอยเล็กๆและรอยหย่อนยาน

หลักสำคัญในการบำรุง :
• นวดหน้าและพอกหน้าเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างเซลล์ผิว เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
• เน้นเพิ่มโลชั่นน้ำปรับสมดุลในการบำรุงเพื่อคงความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ
• การบริโภคอาหารควรมีความสมดุล ควรรับประทานอาหารที่ต้านอนุมูลอิสระได้
• การทำงานและเวลาพักผ่อนต้องเป็นปกติ โดยเฉพาะเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2 ที่มีการสร้างเซลล์ใหม่และผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่อย่างอุดมสมบูรณ์


5.ผิวอ่อนแอ บอบบาง เป็นภูมิแพ้
สาเหตุที่เกิดขึ้น
• สิ่งแวดล้อม สารก่อภูมิแพ้และสิ่งสกปรกทั้งหลาย
• การนอนหลับพักผ่อน แรงกดดัน การบริโภค การขับฮอร์โมนเสียสมดุล
• ผลิตภัณฑ์บำรุง ขจัดเซลล์กำพร้ามากเกินไป สารละลาย สารหอม
• อากาศและการตากแดด การเปลี่ยนฤดูกาล

ลักษณะที่เกิดขึ้น : 
• จะมีชั้นผิวที่บาง เส้นโลหิตฝอยชัดเจน เยื่อไขผิวไม่แข็งแรง ปริมาณน้ำของผิวระเหยสูญเสียไปง่าย สารก่อภูมิแพ้และการกระตุ้นยิ่งง่ายที่จะเข้าไป ทำให้อักเสบ บวมแดง คัน ปวดแสบ เป็นต้น

หลักสำคัญในการบำรุง :
• หลีกเลี่ยงสารก่อเกิดภูมิแพ้
• หลีกเลี่ยงเครื่องหอมและสารสีที่มีปริมาณมากเกินไป
• ลดหรือหลีกเลี่ยงการนวด อบหน้าและการล้างหน้าเกินขนาด
• ลดการตากแดดและตากลมจนทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ บวมแดง
• หลีกเลี่ยงอยู่ในที่อากาศแห้งเกินไป



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

ผิวพรรณ... อาภรณ์ชิ้นงามจากธรรมชาติ (The finery from Nature)



               ผิวพรรณ เสมือนดังอาภรณ์ชิ้นงามที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ นอกจากจะเป็นเครื่องเสริมบุคลิกภาพของเราให้ดูสง่างามแล้ว ผิวยังทำหน้าที่ที่สำคัญคือ ปกป้องอวัยวะภายใน และรักษาระดับอุณหภูมิให้กับร่างกายของเราด้วย ดังนั้น เราทุกคนจึงจำเป็นที่ต้องเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผิวพรรณ ก่อนที่ผิวสวยจะโบกมือลาจากเรา เพราะความละเลยและไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง



ผิวหนังประกอบด้วยโครงสร้าง 3 ชั้น ดังต่อไปนี้ คือ

• ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) 
               ผิวชั้นนอกเป็นผิวชั้นที่อยู่ชั้นนอกที่สุดของชั้นผิวหนัง มีความหนาไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแต่ละส่วนของร่างกาย ซึ่งชั้นเซลล์ผิวบนจะมีทั้ง 4 ชั้นหรือ 5 ชั้น คือฝ่ามือ ฝ่าเท้ามี 5 ชั้นส่วนอื่นๆของร่างกายมี 4 ชั้น อยู่ด้านนอกสุด มีการผลัดเซลล์ทุกๆ 28 วัน หน้าที่หลักของชั้นนี้มี 3 อย่าง คือ
          1. รับสัมผัส
          2. สร้างเม็ดสีผิว
          3. ปกป้องผิวจากสิ่งรบกวนภายนอก

• ชั้นหนังแท้ (Dermis) 
               อยู่ถัดมาด้านในต่อจากชั้นหนังกำพร้า ชั้นนี้ประกอบด้วยคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับแสงแดด และการเกิดริ้วรอย เพราะถ้าเราได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตมาก คอลลาเจนและอิลาสตินก็จะถูกทำลาย ผลคือ ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่รักษายาก นอกจากนี้ ผิวหนังชั้นนี้ยังเป็นที่อยู่ของต่อมเหงื่อ, ต่อมกลิ่น, ต่อมไขมัน, เส้นเลือด, หลอดน้ำเหลือง, เส้นประสาท และรากขน

• ชั้นไขมัน (Subcutaneous Fatty Tissue) 
               อยู่ด้านในสุด ทำหน้าที่เป็นฉนวนกันกระแทก ระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อที่อยู่ภายใน และเป็นที่สะสมของไขมัน เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานให้กับร่างกาย แต่จะบางลงเมื่อมีอายุมากขึ้น




แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!

Share: Line

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สภาพผิวที่ต่างกัน มีวิธีดูแลอย่างไร คลิทีน่า มีข้อมูลมาแนะนำ



       ผิวของแต่ละคนมีลักษณะที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าการดูแลก็ต้องต่างกันออกไปด้วย เพื่อให้การดูแลเหมาะกับแต่ละสภาพผิว วันนี้ “คลิทีน่า” มีวิธีการดูแลผิว ของแต่ละสุขภาพว่าผิวควรดูแลอย่างไร มาให้ดูกันค่ะ

1. ผิวแห้ง 


       ลักษณะของผิวแห้งคือผิวที่ขับน้ำมันออกมาหล่อเลี้ยงผิวชั้นนอกน้อยจึงทำให้ผิวขาดความชุ่มชื่นและแห้งเป็นขุย ชั้นผิวภายในขาดน้ำ ส่งผลให้ผิวหยาบกร้าน ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย บางรายพยายามใช้กระดาษซับมันเพราะคิดว่าหน้ามันรึป่าว ซึ่งการกระทำนั่นยิ่งทำให้ผิวแห้งมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

การดูแล 
        ควรทาครีมบำรุงที่เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวและโดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้ง เช่นช่วงฤดูหนาวควรเพิ่มความเข้มข้นของครีมให้มีความชุ่มชื้นสูงมากกว่าปกติ เพราะน้ำมันและเหงื่อจะถูกขับออกมาค่อนข้างน้อยจึงทำให้ผิวแห้งกว่าเดิม ทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคืองลอกเป็นขุยได้

การล้างหน้าทำความสะอาด
        อันดับแรก การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า “สูตรอ่อนโยน สำหรับผิวแห้งและผิวบอบบาง” เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำจนเกินไป เช่น เวลาหลังล้างหน้าแล้วจะรู้สึกผิวหน้าแห้งตึง นั่นเป็นเพราะน้ำมันที่หล่อเลี้ยงความชุ่มชื้นของผิวถูกขจัดออกไปนั่นเอง และระหว่างล้างหน้าความใช้น้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขนขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ และหลังจากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอีกครั้งเพื่อเป็นการปิดรูขุมขน
       • อันดับสอง ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางค์ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อครีม  หรือเนื้อโลชั่น โดยการใช้มือนวดเบาๆ หลีกเลี่ยงการใช้สำลีถูแรงๆ เมื่อไม่ให้ผิวเกิดการเสียดสีมากๆ จะทำให้ผิวยิ่งเกิดอาการระคายเคือง และทำให้ผิวบางลงนั่นเอง
       • อันดับสาม Deep Cleansing Mask สัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อทำความสะอาดผิว และขจัดสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขนแบบล้ำลึก และเป็นการ Detox ผิวขจัดสารเคมีที่ตกค้างบนผิวให้หมดไป


การบำรุงผิวขั้นต้น
       • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในปรับปรับสมดุลผิว เป็นการเตรียมความพร้อมให้ผิวรับการบำรุง
       • ใช้เอสเซนส์หรือครีมบำรุงผิวที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นหลัก
       • ทาอายครีม ด้วยการแต้มครีมเบาๆ จากหัวตาลากขึ้นไปที่หางตาและกดนวดเบาๆ เพื่อให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น เพื่อช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยรอบดวงตา

การบำรุงผิวเฉพาะสำหรับผิวแห้ง
        มาส์กหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
        ทาครีมบำรุงผิวทุกครั้งหลังล้างหน้า
        นวดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและต่อมนำเหลืองเพื่อสุขภาพผิวที่ดีขึ้น โดยการใช้เอสเซ้นส์ผสมกับครีมบำรุงผิวในอัตราส่วน 1:2 นวดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า สัปดาห์ละครั้ง สลับกับการมาส์ก หรือทำควบคู่กัน
        ทาครีมบำรุงผิวที่มีสารเรตินอลและวิตามินอีก่อนนอน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ผิว และหลีกเลี่ยงการอบซาวน่าผิวหน้า
        ดื่มน้ำวันละมากๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานในห้องแอร์ จะช่วยให้ผิวไม่ขาดน้ำ และไม่แห้งตึง



2. ผิวมัน


       ผิวมันเป็นลักษณะผิวที่ขับน้ำมันออกมามากเกินไปจึงทำให้รูขุมขนกว้าง ผิวดูหมองคล้ำและเกิดสิวง่าย โดยเฉพาะบริเวณ T โซน สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวมันและเป็นสิวคือ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด การขับถ่ายที่ไม่สม่ำเสมอเป็นประจำ กินอาหารที่มีไขมันสูง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และการทำความสะอาดผิวไม่สะอาดพอ เครื่องสำอางค์ฝุ่นละอองต่างๆที่ยังเหลืออยู่บนผิว ทำให้ผิวไม่ได้หายใจและเกิดการอุดตัน เป็นต้น

การดูแล 
       ทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดผิวก่อนการล้างหน้าด้วยโฟมหรือเจลทุกครั้ง หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันและมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น เพราะจะยิ่งทำให้มีน้ำมันส่วนเกินมากเกินไป ระหว่างวันหากรู้สึกว่ามีน้ำมันส่วนเกินมากให้ใช้กระดาษซับมัน ซับหรือกดเบาๆ ให้พอหายมัน หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู่ถูกแรงๆ เพราะจะทำให้ผิวเกิดการถลอกและยังเป็นการเพิ่มริ้วรอยโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

การล้างหน้าทำความสะอาด
        อันดับแรก ควรล้างหน้าเป็นประจำเช้า - เย็น ด้วยโฟมล้างหน้า “สูตรควบคุมความมัน หรือ Deep Cleansing” จะช่วยให้การทำความสะอาดได้หมดจด กว่าสุตรทั่วไป และไม่หลงเหลือความมันและสิ่งตกค้างบนผิว เริ่มจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน ขณะล้างหน้าให้นวดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า ประมาณ 60-90 วินาที เพื่อขจัดเซลล์ที่เสื่อมสภาพ สิ่งสกปรกต่างๆ และน้ำมันภายในรูขุมขน จากนั้นล้างฟองออกด้วยน้ำเย็นเพื่อให้รูขุมขนกระชับ
       • อันดับสอง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง ควรเลือกเป็นชนิดน้ำ หรือน้ำนม เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มความมันบนผิว หลีกเลี่ยงการถู หรือเช็ดแรงๆ อาจทำให้เกิกการอักเสบของผิวหนังหรือรูขุมขนได้
       • อันดับสาม Deep Cleansing Mask สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเพื่อทำความสะอาดผิว และขจัดสิ่ง
สกปรกออกจากรูขุมขน และเป็นการ Detox ผิว ขจัดสารตกค้างต่างๆ บนผิวให้หมดไป


การบำรุงผิวขั้นต้น
        สำหรับผิวมัน ควรเน้นที่การทำความสะอาดผิวเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ผิวกักเก็บสิ่งสกปรกไว้เป็นบ่อเกิดปัญหาสิว
        หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดเข้มข้น ควรใช้เป็นสูตรโลชั่นเนื้อบางเบาจะดีกว่า

การบำรุงผิวเฉพาะสำหรับผิวมัน
        ควรประคบผิวด้วยผ้าขนหนูชุปน้ำอุ่น และนวดเบาๆ ประมาณ 3-5 นาที ด้วยคลีนซิ่งโลชั่น เพื่อขจัดสิ่งตกค้างในรูขุมขนให้สะอาด สำหรับผู้ที่ผิวมันมากควรทำเป็นประจำ ก่อนการล้างหน้า
       • ใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน
        สครับผิวขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ สัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส
        มาส์กเย็น ด้วยเจลเย็น หรือนำแผ่นมาส์กแช่ตู้เย็นก่อน แล้วนำมามาส์กผิวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แนะนำให้ทำหลังจากการสครับผิวจะดีที่สุด เพราะเมื่อผิวถูกการเสียดสีมากๆ จะเกิดความร้อนทำให้รูขุมขนขยาย ควรปิดรูขุมขนด้วยความเย็นจะดีที่สุด
        หลีกเลี่ยงความเครียด นิสัยชอบบีบ แคะ แกะ เกาใบหน้าเมื่อเป็นสิว งดเอามือสัมผัสใบหน้าระหว่างวัน งดอาหารมัน ของหวาน และที่สำคัญเหล้าและบุหรี่



3. ผิวผสม 

       ลักษณะผิวของคนเอเชียส่วนใหญ่ เกิดการขับน้ำมันบนผิวแต่ละบริเวณไม่สมดุลกัน ส่วนใหญ่ บริเวณ โซนผิวจะมัน และบริเวณแก้มทั้งสองข้างผิวจะแห้ง ซึ่งผิวลักษณะนี้การดูแลจะค่อนข้างยุ่งยาก จึงต้องดูแลเป็นพิเศษ โดยผิวผสมจะเเบ่งได้ 2 ลักษณะย่อย
        ลักษณะที่ 1 ผิวผสมค่อนไปทางแห้ง คือ บริเวณ T โซนผิวจะมีความน้ำมันเพียงเล็กน้อย แต่ U โซน ผิวจะแห้ง
        ลักษณะที่ 2 ผิวผสมค่อนไปทางมัน คือ บริเวณ Tโซนผิวจะมันมาก แต่ U โซนผิวจะมีน้ำมันเพียงเล็กน้อย

การดูแล 
       สิ่งแรกคุณจะต้องรู้ก่อนว่า ผิวของคุณเป็นผิวผสมลักษณะใด ค่อนไปทางแห้ง หรือผิวมัน มากกว่ากัน เพื่อที่จะเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้เหมาะสมที่สุด

การล้างหน้าทำความสะอาด
        อันดับแรก เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีค่า PH ที่ใกล้เคียงกับผิว เพื่อปรับสมดุลผิว หลีกเลี่ยงการนวด หรือถูแรงๆ บริเวณผิวแห้ง และเน้นการนวดทำความสะอาด บริเวณที่ผิวมัน
        อันดับสอง ใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางค์ ควรเลือกใช้เป็นเนื้อโลชั่น หรือสูตรน้ำนม เพื่อคงความชุ่มชื้นแก่ผิว และไม่เป็นการเพิ่มความมันให้กับผิว
        อันดับสาม Deep Cleansing Mask และสครับผิว โดยจะเน้นที่บริเวณ โซนให้มากกว่า ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อทำความสะอาดผิว และขจัดสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน และเป็นการ Detox ผิวขจัดสารตกค้างต่างๆ บนผิวให้หมดไป

การบำรุงผิวขั้นต้น
       • ใช้ผลิตภัณฑ์โทนเนอร์ หรือโลชั่นสูตรน้ำเพื่อปรับสภาพผิว เพื่อให้ผิวพร้อมรับการบำรุง
       • เลือกผลิตภัณฑ์โลชั่นเนื้อบางเบา หรือ สูตรวอเตอร์ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ โดยการเน้นทาที่ U โซนก่อน และส่วนที่เหลือทาที่ T โซน 
        ส่วนใครที่ บริเวณ U โซนผิวแห้งมากๆ ให้ใช้ครีมที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น ทาเฉพาะบริเวณนั้นเพิ่มเติมได้0

การบำรุงผิวเฉพาะสำหรับผิวผสม
        สครับผิวบริเวณ โซนเพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ
        มาส์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่น โดยเน้นบริเวณที่ผิวแห้ง และรอบดวงตา แนะนำเลือกใช้มาส์กที่เป็นเนื้อครีมเข้มข้น สามารถทาเฉพาะส่วนได้
       • ควรดูแลผิวแต่ละส่วนให้สมดุลกันเพื่อสุขภาพผิวที่ดี

       

4. ผิวแพ้ง่าย 


       เป็นลักษณะของผิวที่บางมากๆ ไวต่อสภาพแวดล้อม และง่ายต่อการเกิดอาการระคายเคือง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมทำร้ายผิวให้ได้มากที่สุด

การดูแล 
       ผิวที่บอบบางควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี โดยเน้นเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากธรรมชาติเป็นหลัก และไม่ควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยๆ เพราะผิวจะเกิดการต่อต้านต่อสิ่งแปลกปลอม อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง 


การล้างหน้าทำความสะอาด
       • อันดับแรก ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า สูตรอ่อนโยนที่รักษาค่า PH ปรับสมดุลผิว และป้องกันการระคายเคืองของผิว
       • อันดับสอง ผลิตภัณฑ์เช็คเครื่องสำอางค์ควรเลือก สูตรน้ำนมที่อ่อนโยนต่อผิว และหลีกเลี่ยงที่มีส่วนผสมของน้ำหอมที่ระคายเคืองต่อผิว โดยการใช้สำลีเช็ดกดซับบริเวณเครื่องสำอางค์ประมาณ 4-6 วินาที และค่อยๆเช็ดออกอย่างเบามือ 
       • อันดับสาม Cleansing Mask สูตรอ่อนโอน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและสารตกค้างให้หมดไป หลีกเลี่ยงการนวดหรือขัดผิวแรง เพื่อไม่ ให้ผิวระคายเคือง


การบำรุงผิวขั้นต้น
        การบำรุง และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับ ลักษณะของผิวแห้ง โดยอาจเน้นเลือกผลิตภัณฑ์ที่เสริมโปรตีนให้กับผิวเพื่อเพิ่มความแข็งแรง
        ดื่มน้ำ และรับประทานผักผลไม้ มากๆ เพื่อเป้นการบำรุงจากภายใน เสริมความแข็งแรงให้กับผิว

การบำรุงผิวเฉพาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
        หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอลล์ และสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผิว
        หลีกเลี่ยงการนวด และสครับผิว เพราะอาจเป็นการกระตุ้นให้ผิวเกิดอาการระคายเคือง หากต้องการทำความสะอาดผิว แนะนำโดยการมาส์กโคลน Detox จะดีกว่า
       • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าจัด ทำให้ผิวเกิดการอุตตัน และไม่ต้องเช็คเครื่องอำสางค์แบบรุนแรง


เพราะผิวคือเรื่องสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้าม "คลิทีน่า" อยากให้ทุกคนหันมาดูแลผิว ได้มากกว่าที่เคย 

หากท่านใดที่ยังไม่รู้ว่าเราเป็นผิวลักษณะแบบไหน สามารถเข้ารับการตรวจและปรึกษาสุขภาพผิวได้ที่ คลิทีน่า บิวตี้ เซ็นเตอร์ ได้นะคะ

ศุนย์รัชดาภิเษก
โทร 0-2276-4874, 0-2276-4875
เวลาทำการ  อ.-อา 10.30 - 21.00

ศูนย์บางนา
โครงการเดอะพาร์คแลนด์ บางนา (คลับเฮาส์ ชั้น 2)
โทร 091-817-9956


เวลาทำการ อ.-อา เวลา 10.30 - 21.00
Share: Line